HPV (Human Papilloma Virus) นับเป็นภัยเงียบที่แฝงตัวในสังคมปัจจุบัน ด้วยความที่มันสามารถแพร่กระจายได้อย่างง่ายดายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และผ่านการสัมผัสทางผิวหนังและเยื่อบุ ทำให้ผู้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว ความน่ากลัวของ HPV ไม่ได้อยู่แค่การก่อให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศเท่านั้น แต่บางสายพันธุ์ยังสามารถนำไปสู่มะเร็งร้ายแรงหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
การรู้เท่าทันและเข้าใจถึงอันตรายของ HPV จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรตระหนัก เพราะนอกจากจะช่วยในการป้องกันการติดเชื้อแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงได้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ HPV ยังช่วยลดการตีตราทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อ และส่งเสริมให้เกิดการตรวจคัดกรองและรักษาอย่างทันท่วงที
HPV คืออะไร ?
HPV ย่อมาจาก Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสทางผิวหนังและเยื่อบุ มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยบางสายพันธุ์สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ ผู้ติดเชื้อบางคนอาจไม่แสดงอาการ แต่บางรายอาจเกิดหูดที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงสามารถนำไปสู่มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคอ มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งองคชาต
สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
ได้แก่ สายพันธุ์ 6 และ 11,40,42,43,44,54,61,72,81 มักก่อให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศหรือรอบทวารหนัก แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถส่งผลกระทบทางจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อได้
สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง
ได้แก่ สายพันธุ์ 16,18,31,33,35,39,45,51,52,56,58,59,68,69,82 เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ยังสามารถก่อให้เกิดมะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งองคชาต
HPV ติดต่อกันได้อย่างไร ?
การแพร่กระจายของ HPV เกิดขึ้นผ่านการสัมผัสทางผิวหนังและเยื่อบุโดยตรง โดยเฉพาะระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งแบบช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก การใช้ถุงยางอนามัยสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เนื่องจากไวรัสสามารถอยู่ในบริเวณที่ถุงยางไม่ครอบคลุม
กลุ่มเสี่ยงหลักในการติดเชื้อ HPV ได้แก่
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้การป้องกัน
ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
ผู้ที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
ผู้ที่สูบบุหรี่ (เพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นมะเร็ง)
อาการและผลกระทบต่อสุขภาพ
การติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อ และอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจพบอาการดังต่อไปนี้
หูดที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก: มักเกิดจาก HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ โดยมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อนูนขึ้นมา อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ และอาจรวมกันเป็นกลุ่ม
ความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก: ตรวจพบได้จากการตรวจ Pap smear ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็งปากมดลูกหากไม่ได้รับการรักษา
อาการในช่องปากและลำคอ: อาจพบแผลในปากหรือลำคอที่ไม่หายขาด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งช่องปากและลำคอที่เกิดจาก HPV
ผลกระทบต่อสุขภาพที่ร้ายแรงที่สุดของการติดเชื้อ HPV
มะเร็งปากมดลูก: เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดที่เกิดจาก HPV โดยเกือบทุกกรณีของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง
มะเร็งช่องปากและลำคอ: พบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในผู้ชาย
มะเร็งทวารหนัก: พบได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
มะเร็งอวัยวะเพศชาย: แม้จะพบได้น้อยกว่ามะเร็งชนิดอื่น แต่ก็มีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อ HPV
นอกจากผลกระทบทางร่างกายแล้ว การติดเชื้อ HPV ยังส่งผลกระทบทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล ความรู้สึกอับอาย และปัญหาความสัมพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อได้อย่างมาก
การวินิจฉัย HPV
การวินิจฉัยและตรวจคัดกรอง HPV มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน และรักษาโรคที่เกิดจากไวรัสนี้ วิธีการตรวจหา HPV และการคัดกรองมะเร็งที่เกี่ยวข้องมีหลายวิธี ดังนี้
การตรวจหา HPV โดยตรง
การตรวจ DNA ของ HPV: เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงในการตรวจหาการติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง
การตรวจ RNA ของ HPV: สามารถบ่งชี้ถึงการติดเชื้อที่กำลังดำเนินอยู่และมีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจ Pap smear: เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมาตรฐานที่ใช้มานาน โดยเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติ
การตรวจ HPV ร่วมกับ Pap smear: เพิ่มความแม่นยำในการตรวจคัดกรอง โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป
การตรวจด้วยกล้องคอลโปสโคป: ใช้ในกรณีที่ผลการตรวจ Pap smear ผิดปกติ เพื่อดูลักษณะของปากมดลูกอย่างละเอียด
การตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากและลำคอ
การตรวจช่องปากและลำคอโดยแพทย์: เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพทั่วไป
การตรวจหา HPV ในช่องปากและลำคอ: อาจใช้ในกลุ่มเสี่ยงสูง
การตรวจคัดกรองมะเร็งทวารหนัก
การตรวจทางทวารหนักด้วยนิ้ว (Digital Rectal Examination)
การตรวจด้วยกล้องส่องทวารหนัก (Anoscopy)
ประโยชน์ของการตรวจคัดกรอง HPV
การตรวจพบแต่เนิ่นๆ: สามารถค้นพบการติดเชื้อ HPV ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง ทำให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที
ลดความเสี่ยงมะเร็ง: โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้อย่างมาก
วางแผนการรักษา: หากพบความผิดปกติ แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ทันที
ประหยัดค่าใช้จ่าย: การรักษาแต่เนิ่นๆ มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษามะเร็งในระยะลุกลาม
ลดความวิตกกังวล: การตรวจสม่ำเสมอช่วยให้ผู้รับการตรวจคลายความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง
เพิ่มโอกาสการรักษาให้หาย: การตรวจพบแต่เนิ่นๆ เพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
ป้องกันการแพร่เชื้อ: เมื่อทราบว่าติดเชื้อ สามารถป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้
สร้างความตระหนักด้านสุขภาพ: กระตุ้นให้ผู้คนใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น
การรักษา HPV
การรักษาการติดเชื้อ HPV และโรคที่เกิดจาก HPV มีความหลากหลายขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค ดังนี้
การรักษาการติดเชื้อ HPV โดยตรง
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่สามารถกำจัด HPV ได้โดยตรง
ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันปกติ ร่างกายมักสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เองภายใน 1-2 ปี
การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอาการและรอยโรคที่เกิดจาก HPV
การรักษาหูดที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
การรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่
Imiquimod cream: กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อต้านไวรัส
Podofilox solution หรือ gel: ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์หูด
Trichloroacetic acid (TCA): ทำลายเนื้อเยื่อหูด
การรักษาด้วยวิธีทางกายภาพ
การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวทำลายหูด
การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrocautery): ใช้กระแสไฟฟ้าเผาทำลายหูด
การผ่าตัดด้วยเลเซอร์: ใช้แสงเลเซอร์กำจัดหูด
การผ่าตัด (Excision): ใช้ในกรณีที่หูดมีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมาก
การรักษาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก
การเฝ้าระวังและติดตามอาการ: ในกรณีที่ความผิดปกติอยู่ในระดับต่ำ
LEEP (Loop Electrosurgical Excision Procedure): ใช้ห่วงลวดไฟฟ้าตัดเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก
Conization: การตัดเนื้อเยื่อปากมดลูกที่ผิดปกติออกเป็นรูปกรวย
Cryotherapy หรือ Laser therapy: ใช้ในการทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ
การรักษามะเร็งที่เกิดจาก HPV
การผ่าตัด
ใช้ในการกำจัดเนื้องอกและเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ
ในกรณีมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้น อาจใช้การผ่าตัดเพียงอย่างเดียว
รังสีรักษา
ใช้รังสีในการทำลายเซลล์มะเร็ง
อาจใช้ร่วมกับเคมีบำบัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
เคมีบำบัด
ใช้ยาเคมีในการทำลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย
มักใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจาย
การติดตามผลการรักษา
การตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษาและตรวจหาการกลับมาของโรค
การตรวจคัดกรองมะเร็งอย่างต่อเนื่องในผู้ที่เคยได้รับการรักษา
การดูแลสุขภาพโดยรวม
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
การลดความเครียดผ่านการทำสมาธิหรือการออกกำลังกาย
สิ่งสำคัญ คือ การรักษาควรได้รับการวางแผน และดำเนินการโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น อายุ สุขภาพโดยรวม และความรุนแรงของโรค
การป้องกัน HPV
การป้องกันการติดเชื้อ HPV และโรคที่เกิดจาก HPV มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
วัคซีนป้องกัน HPV
วัคซีนป้องกัน HPV เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่เป็นอันตราย
ปัจจุบันมีวัคซีนหลายชนิด เช่น วัคซีนที่ครอบคลุม HPV 4 สายพันธุ์ และ 9 สายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกและหูดอวัยวะเพศ
แนะนำให้ฉีดในวัยรุ่นทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดในช่วงอายุ 11-12 ปี แต่สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนก็สามารถรับวัคซีนได้ แม้จะมีประสิทธิภาพลดลงบ้าง
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
จำกัดจำนวนคู่นอน เนื่องจากยิ่งมีคู่นอนมาก ยิ่งเพิ่มโอกาสในการสัมผัสกับ HPV
ชะลอการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพราะการเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการหรือรอยโรคที่สงสัยว่าอาจเกิดจาก HPV
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก
หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV และการพัฒนาเป็นมะเร็ง
การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอ
แม้จะไม่ใช่การป้องกันโดยตรง แต่การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอช่วยในการตรวจพบ และรักษาความผิดปกติก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
สำหรับผู้หญิง ควรรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ
การให้ความรู้และการสร้างความตระหนัก
การให้ความรู้เกี่ยวกับ HPV และวิธีการป้องกันแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป
สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนและการตรวจคัดกรอง
การรักษาสุขภาพโดยรวม
รักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
ตรวจHPV รักษาHPV ฉีดวัคซีนป้องกันHPV เชียงใหม่ ได้ที่ไหน?
สำหรับท่านไหนที่ต้องการ ตรวจHPV รักษาHPV ฉีดวัคซีนป้องกันHPV ที่จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย ขอแนะนำที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทาง ที่ได้รับวุฒิบัตรรับรองจากสถาบันทางการแพทย์ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีให้กับชาวเชียงใหม่อย่างคุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมบริการด้านการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวทันนวัตกรรมทางการแพทย์
อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม
ติดต่อเรา
ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่
ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่
เปิดบริการทุกวัน
จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.
สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)
เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988
แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share
จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me
HPV เป็นไวรัสที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง และการป้องกันที่เหมาะสม เราสามารถลดความเสี่ยงจาก HPV ได้อย่างมาก การฉีดวัคซีน การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีการสำคัญในการป้องกัน HPV รวมถึงลดอัตราการเกิดมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Comments