top of page
hivteam

เอชไอวี (HIV) ภัยเงียบที่คุกคามระบบภูมิคุ้มกัน

เอชไอวี (HIV) ภัยเงียบที่คุกคามระบบภูมิคุ้มกัน

เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus หรือไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในมนุษย์ เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ เมื่อติดเชื้อเอชไอวี ร่างกายจะค่อยๆ สูญเสียภูมิคุ้มกัน ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคมะเร็งบางชนิด

กลไกการทำงานของไวรัส เอชไอวี

เอชไอวีเป็นไวรัสที่มีความซับซ้อน มันจะเข้าสู่ร่างกายและมุ่งเป้าไปที่เซลล์ CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ไวรัสจะแทรกซึมเข้าไปในเซลล์เหล่านี้และใช้กลไกของเซลล์ในการสร้างสำเนาของตัวเอง จากนั้นจะแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นๆ ในกระบวนการนี้ เซลล์ CD4 จะถูกทำลาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ

ผลกระทบต่อร่างกาย

เมื่อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ถูกทำลาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส และโรคมะเร็งบางชนิด หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS - Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี

การติดต่อของ เอชไอวี

การติดต่อของ เอชไอวี
  1. การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน: ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี

  2. การสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ: เช่น การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ฉีดยาเสพติดร่วมกัน การได้รับเลือดที่มีเชื้อ (ซึ่งพบได้น้อยมากในปัจจุบันเนื่องจากการคัดกรองเลือดที่เข้มงวด)

  3. การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก: ระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร

ระยะของการติดเชื้อเอชไอวี

  1. ระยะเฉียบพลัน: เกิดขึ้น 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ ผู้ป่วยอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่

  2. ระยะไม่แสดงอาการ: ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติ แต่ไวรัสยังคงแบ่งตัวและทำลายระบบภูมิคุ้มกัน

  3. ระยะมีอาการ: ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงมาก เริ่มมีอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส

  4. ระยะโรคเอดส์: เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำมากและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดต่อ

เอชไอวีไม่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น การจับมือ การกอด การใช้ห้องน้ำร่วมกัน หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน ความเข้าใจนี้มีความสำคัญในการลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ

การตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ฮักษาคลินิก

ฮักษาคลินิกเป็นสถานพยาบาลที่เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอชไอวี/เอดส์ โดยมีขั้นตอนการให้บริการดังนี้

  1. การให้คำปรึกษาก่อนการตรวจ (Pre-test counseling): ผู้เชี่ยวชาญจะอธิบายเกี่ยวกับการตรวจ ความเสี่ยง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

  2. การตรวจคัดกรอง: ใช้วิธีการตรวจที่รวดเร็วและแม่นยำ เช่น การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวีในเลือด

  3. การตรวจยืนยัน: หากผลการตรวจคัดกรองเป็นบวก จะมีการตรวจยืนยันด้วยวิธีที่มีความจำเพาะสูง

  4. การให้คำปรึกษาหลังการตรวจ (Post-test counseling): แพทย์จะแจ้งผลการตรวจและให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไป ไม่ว่าผลจะเป็นบวกหรือลบ

  5. การรักษา: สำหรับผู้ที่ผลตรวจเป็นบวก จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy - ART) ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย

การรักษาเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส

การรักษาเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส

ยาต้านไวรัสทำงานโดยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา เรียกว่า การรักษาด้วยยาต้านไวรัสแบบผสมผสาน (Antiretroviral Therapy - ART)

ยาเหล่านี้แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ตามกลไกการออกฤทธิ์ เช่น

  • Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)

  • Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)

  • Protease Inhibitors (PIs)

  • Integrase Inhibitors (INIs)

  • Entry Inhibitors

การรักษาที่ฮักษาคลินิกจะเริ่มต้นทันทีที่ได้รับการวินิจฉัย โดยไม่คำนึงถึงระดับ CD4 หรือปริมาณไวรัสในเลือด เนื่องจากการเริ่มรักษาเร็วจะช่วยป้องกันความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการแพร่เชื้อ

การติดตามผลการรักษา

ผู้ป่วยจะได้รับการติดตามอย่างสม่ำเสมอที่ฮักษาคลินิก โดยมีการตรวจวัด

  1. ปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load): เป้าหมายคือการลดปริมาณไวรัสให้ต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable)

  2. จำนวนเซลล์ CD4: เพื่อประเมินความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน

  3. ผลข้างเคียงของยา: เพื่อปรับเปลี่ยนสูตรยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

  4. โรคแทรกซ้อนอื่นๆ: เช่น โรคตับ โรคไต หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด

การดูแลแบบองค์รวม

นอกจากการรักษาด้วยยา ฮักษาคลินิกยังให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ซึ่งรวมถึง:

  • การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต: เพื่อช่วยผู้ป่วยรับมือกับความเครียดและปัญหาทางอารมณ์

  • การให้ความรู้เรื่องโภชนาการ: เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวม

  • การสนับสนุนทางสังคม: ช่วยผู้ป่วยในการเปิดเผยสถานะกับคนใกล้ชิดและการใช้ชีวิตในสังคม

  • การป้องกันการแพร่เชื้อ: ให้ความรู้เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและการป้องกันการแพร่เชื้อสู่คู่นอนหรือทารกในครรภ์

การป้องกันเอชไอวี

การป้องกันเอชไอวี

การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ต่อไปนี้คือวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

  1. การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย

    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และปาก

    • ลดจำนวนคู่นอน

    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะมึนเมาหรือใช้สารเสพติด ซึ่งอาจทำให้ลืมป้องกัน

  2. การป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP - Pre-Exposure Prophylaxis)

    • เป็นการใช้ยาต้านไวรัสในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง

    • ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง

    • ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ จึงควรใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย

  3. การป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อ (PEP - Post-Exposure Prophylaxis)

    • ใช้ในกรณีที่อาจสัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 72 ชั่วโมง

    • ต้องเริ่มรับประทานยาโดยเร็วที่สุดและต่อเนื่องเป็นเวลา 28 วัน

  4. ไม่ใช้เข็มและอุปกรณ์ฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

  5. การป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

    • หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจคัดกรองเอชไอวี

    • หากพบว่าติดเชื้อ ควรได้รับยาต้านไวรัสระหว่างตั้งครรภ์และให้ยาแก่ทารกหลังคลอด

    • หลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หากเป็นไปได้

  6. การตรวจคัดกรองและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

    • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี

    • การรักษาโรคเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี

  7. การลดการตีตราและเลือกปฏิบัติ

    • ส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ในสังคม

    • สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อเปิดเผยสถานะและเข้าถึงการรักษา

ความก้าวหน้าในการรักษา เอชไอวี

ในปัจจุบัน แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถควบคุมปริมาณไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบได้ (Undetectable = Untransmittable หรือ U=U) ซึ่งหมายความว่าผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพจะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้

การดูแลตนเองสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  1. รับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์

  2. เข้ารับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

  3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

  4. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด

  5. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและการติดเชื้อเพิ่มเติม

  6. เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหากรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

ติดต่อเรา

  • ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่

  • ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

  • เปิดบริการทุกวัน

    • จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.

    • เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.

  • สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)

  • เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988

  • แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share

  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me

เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพ ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพได้ ฮักษาคลินิกเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน การตรวจวินิจฉัย ไปจนถึงการรักษาและติดตามผล

ดู 21 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page